ยิ่งการเมืองแย่ เพลงป็อปยิ่งมันส์ขึ้น! สัญญาณการกลับมาของ ‘Recession Pop’ หลังโลกเผชิญความขัดแย้ง และเศรษฐกิจถดถอย
- Bloomsbury Girl
- 21 เม.ย.
- ยาว 1 นาที

ว่ากันว่าเพลงป็อปสมัยนิยมนั้นเปรียบดั่งคันฉ่องใช้ส่องโลกไม่ว่าจะยามดีหรือร้าย ถ้านั่นคือเรื่องจริง คุณคิดว่าบับเบิลกัมป็อปของ Sabrina Carpenter ไฮเปอร์ป็อปของ Charli XCX ซินธ์ป็อปของ Chappell Roan และอิเล็กโทรป็อปของ Lady Gaga สะท้อนความรู้สึกนึกคิดแบบใด?
.
แล้วถ้าเราบอกว่าผลงานจังหวะสนุกของศิลปินเหล่านี้เป็นผลมาจากการเมืองโลกหันขวา เศรษฐกิจซบเซา และสภาพสังคมที่ตึงเครียด คุณจะเชื่อไหม?
.
คอลัมน์ Critique Critic วันนี้จะพาชาวเพจไปสำรวจปรากฏการณ์ ‘Recession Pop’ ดนตรีมันส์ๆ ที่ปลุกคนให้ลุกขึ้นมาโยกย้ายและใช้ชีวิตให้สนุก แม้ในวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
.
Gen Z ไม่ใช่คนรุ่นแรกที่ใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสะท้อนความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยท่ามกลางยุคสมัยที่การเมืองย่ำแย่ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2007-2008 ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลังฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ (ที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า ‘วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์’) ชาว Gen Y ได้เห็นหน้าหนังสือพิมพ์ใช้คำว่า Recession Pop กันเป็นครั้งแรก โดยกล่าวถึงเพลงฮิตติดชาร์ตจังหวะเร็วอย่าง Lady Gaga - Telephone, Ke$ha - TiK ToK หรือ Time of Our Lives - Pitbull and Ne-Yo
.
หรือหากย้อนกลับไปตั้งแต่เรายังไม่มีคำเฉพาะเอาไว้เรียกปรากฏการณ์นี้ หลายคนก็คงพอรู้อยู่บ้างว่าเมื่อไรที่เหตุการณ์บ้านเมืองน่าเป็นห่วง ผู้คนก็มักจะสร้างสรรค์ดนตรีดีๆ ขึ้นมาบรรเลงเพื่อชุบชูกำลังใจให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Great Depression ยุค ’30 ที่นำมาซึ่งดนตรีบลูส์และสวิง สงครามเวียดนามยุค ’60 ที่ส่งผลทางอ้อมให้ผู้คนอยากหลีกหนีจากความจริงด้วยดนตรีดิสโก้ ตลอดจนประวัติศาสตร์การถูกกดทับของคนดำในสหรัฐฯ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดดนตรีฮิปฮอปและการแร็ป
.
แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีนิยามที่รัดกุมว่า Recession Pop จะต้องมีลักษณะแบบใด แต่โดยมากเมื่อพูดคำนี้ขึ้นมา คนจะนึกถึงจังหวะดนตรีรัวเร็วที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ สอดคล้องกับผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าดนตรีค่า BPM (บีตต่อนาที) สูงๆ ช่วยกระตุ้นความรู้สึกเชิงบวกได้
.
นอกจากนี้ความหมายของเพลงยังเสริมพลังให้จังหวะเร็วด้วย เพราะเนื้อเพลงมักเป็นไปในเชิงบวก ในกรณีของยุคปี 2008 นิตยสาร DAZED ระบุว่าค่ายเพลงรู้ดีว่าบรรยากาศหม่นหมองในโมงยามเช่นนี้จะส่งผลต่อรายได้ของตน พวกเขาจึงพยายามโน้มน้าวผู้ฟังให้ออกมาปาร์ตี้กันและทิ้งปัญหาต่างๆ เอาไว้ชั่วคราว
.
Stop callin', stop callin'
I don't wanna think any more
I left my head and heart on the dance floor
เลิกโทรมาได้แล้ว หยุดโทรเถอะ
ฉันไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว
ฉันทิ้งสมองและหัวใจไปแล้วเมื่อมาอยู่บนแดนซ์ฟลอร์
(จากเพลง Telephone ของ Lady Gaga)
.
ส่วน Recession Pop ยุคปัจจุบันเน้นไปที่ความหมายแนว empowerment เสริมความมั่นใจและพลังในตัวตน อย่างอัลบั้ม brat ของ Charli XCX ที่ทวงคืนความหมายของ ‘นังเด็กเหลือขอ’ (brat) ด้วยเอเนอร์จี้ปาร์ตี้เกิร์ลผู้เป็นศูนย์กลางความสนใจในคลับ
.
I went my own way and I made it
I'm your favorite reference, baby
ฉันไปตามทางของฉัน แล้วฉันก็สำเร็จ
เรฟที่พวกเธอใช้กัน ก็คือฉันไงจ๊ะที่รัก
(จากเพลง 360 ของ Charli XCX)
.
ในขณะที่เหล่า pop girlies คนอื่นๆ ต่างก็ผลัดกันปล่อยพลังแต่งเพลง empowerment ในประเด็นของตนเอง Gaga พูดเรื่องการเอาชนะอุปสรรคมากมายในเกมชีวิต Sabrina พูดเรื่องความต้องการทางเพศของผู้หญิง Chappell พูดเรื่องการเดินทางออกตามหาความฝันในฐานะเลสเบี้ยน ฯลฯ
.
เรื่อง: Bloomsbury Girl
.
ที่มา:
- https://www.vogue.com.au/culture/features/recession-pop/news-story/e69f2df8a36feffc07729fcfbc0f2fb2
.
#TheShowhopper #RecessionPop #music #ดนตรี #เพลง #ตะวันตก #การเมือง #เศรษฐกิจ
Comentários